วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559

             

     สวัสดีคับผม ขอแนะนำตัวกันก่อน ผมนาย ณัฐภัทร  สุอินต๊ะ เหตุผลที่ทำ  Blogger นี้ขึ้นมาเพราะเกิดจากความสนใจ และชื่นชอบในการสัก และ เพ้น และผมเองก็ทำงานเพ้นอยู่ที่เชียงใหม่คับผม ข้อมูลที่หามา มาจากประสบการณ์ และ ข้อมูลอ้างอิงอื่นๆ หากมีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคับ 

เริ่มกันตั้งแต่ประเภทต่างๆของรอยสัก ที่เราจะแบ่งเองเท่าที่เรารู้และศึกษามาเนี่ยแหละ มีรูปตัวอย่างให้ดู ประวัติของสไตล์นั้นๆ และเราจะแนะนำช่างระดับโลกที่เราคิดว่าเก่งในแต่ละแนวทาง รวมทั้งช่างไทยด้วย (เฉพาะแนวที่เราสนใจเป็นพิเศษหรือพอจะติดตามบ้างนะ บางแนวเราไม่ได้ติดตามเลยก็ไม่กล้าแนะนำ) จากนั้นตามด้วยหลักการเลือกร้านอย่างคร่าวๆ ร้านสักหรือช่างสักเขาคิดราคากันยังไง ร้านแบบไหนถึงจะปลอดภัย มีอนามัยที่ดี อุปกรณ์ที่สำคัญที่ใช้พิจารณาความสะอาดได้แก่อะไรบ้าง หลังจากเลือกร้านเลือกช่างได้แล้วก็ต้องทำการบรีฟช่างก่อน เราจะพูดถึงการเลือกลายสักที่ต้องการ หาแรงบันดาลใจจากไหน รวมทั้งการไม่ก็อปปี้งานสักของคนอื่นด้วย เมื่อนัดวันและโอนมัดจำเรียบร้อยแล้ว เราก็จะแนะนำการเตรียมตัวก่อนไปสัก และท้ายที่สุดคือการดูแลรักษารอยสักหลังสักใหม่ให้หายดี ทั้งหมดที่จะพูดในส่วนของการแนะนำต่างๆ เกิดจากประสบการณ์ตรง การดูคลิป และการอ่าน ตกตะกอนออกมา
ประเภทของรอยสัก
หลายๆคนอาจจะแบ่งแยกประเภทของรอยสักกันไม่ค่อยถูก อาจจะเห็นงานสวยๆแบบที่ชอบ อยากจะได้บ้างแต่ไม่รู้จะใช้คำว่าอะไรมาค้นหาต่อหรือเพื่อบอกกับใครๆว่าฉันต้องการแนวนี้ ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้มีการแบ่งรอยสักออกเป็นประเภทต่างๆแบบชัดเจนหรอก แต่เราจะแบ่งให้คร่าวๆตามความเข้าใจของเราแล้วกัน

1. Tribal tattoo







เอกลักษณ์ของงาน tribal ก็คือการถมดำ จะไม่มีการใช้สีสันแบบอื่นเลยในลายสัก ใช้แต่สีดำล้วนๆและแทบไม่มีการลงเงาด้วยเช่นกัน จัดว่าเป็นรอยสักประเภทที่เก่าแก่ที่สุดเลยก็ว่าได้ เรียกแบบไทยๆก็คือรอยสักแบบชนเผ่าต่างๆนั่นเอง แรกเริ่มเดิมทีมีถิ่นกำเนิดจากเกาะแถบโพลีนีเซีย บางทีก็ดูออกยากเหมือนกันว่างานแบบไหนมาจากชนเผ่าอะไร แต่ดูไปนานๆเราก็จะแยกออกได้แน่นอน ชนเผ่าหลักๆที่นิยมสักกันได้แก่

- Polynesian




คำว่า tattoo ก็มีที่มาจากรากศัพท์ของชาว Samaon นี่เอง คำว่า tatau ความหมายคือการทำรอยแผล การเพนท์สี หรือการสร้างรอยลงบนผิวหนังของชาวโพลีนีเซียน ท้ายที่สุดก็แผลงไปเป็น tattoo โดยชาวยุโรปอย่างที่เราเรียกขานกันในปัจจุบัน รอยสักเหล่านี้เป็นรอยสักมือล้วนๆ ต้องนังตอกกันนานมากกว่าจะได้แต่ละลาย



รอยสักของชาว Tahitian จะมีเส้นโค้งที่ล้อไปกับ curve ของร่างกาย การลงสีแบบถมดำก็ค่อนข้างเยอะ นิยมสักไว้เพื่อแสดงความแข็งแกร่ง




ในขณะที่ชาว Samaon จะเรียกรอยสักว่า Pe'a และเป็นสิ่งสำคัญมากในวัฒนธรรม เพราะถือว่าเป็นเครื่องทดสอบความอดทน เขามีการแบ่งแยกรอยสักแบบผู้ชายและผู้หญิงด้วยนะ 




ผู้ชายจะนิยมสักตามสะโพกและขา ไม่มีเส้นโค้งไม่เยอะมากแต่ยังถมดำเยอะ ผู้หญิงก็สักขาเหมือนกันแต่ลายจะดูโปร่งตากว่าและเรียกว่า malu


อีกเผ่าที่เราจะลืมไม่ได้เมื่อพูดถึงรอยสักคือ Maori ภาษาของเขาเรียกว่า moko สำหรับพวกเขาแล้วรอยสักมีความหมายด้านจิตวิญญาณและการประดับตกแต่งไปพร้อมๆกัน 

ผู้ชายที่มีรอยสักถือว่ามีเสน่ห์มาก ลายสักของพวกเขามีความโดดเด่นมากเช่นกันเพราะสักกันบนใบหน้าเลย


- Papua New Guinea



ในกลุ่มชนเผ่าปาปัวนิวกินีกลับนิยมรอยสักในผู้หญิงมากกว่า สักกันตั้งแต่ 5-6 ขวบด้วยซ้ำ 


ส่วนมากเป็นการสักเพื่อความสวยงามและบ่งบอก marital status สาวโสดจะค่อนข้างโล่งที่หน้าอก


แต่งงานปุ๊บจะสักจากหัวไหล่สองข้างยาวมาบรรจบกันเป็นตัว ตรงหว่างอก

- Filipino

ชาวฟิลิปปินส์พื้นเมืองเชื่อว่ารอยสักมีความศักสิทธิ์มาก พวกเขาค่อนข้างจะรักษาพิธีกรรมนี้เป็นความลับ



ไม่ค่อยอยากให้มีคนรู้มาก เขากลัวว่ามันจะ popular ขึ้นมาในคนนอกแบบรอยสัก Polynesian เขาไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น

และด้วยความที่มีหลายเกาะมากในประเทศ ชนเผ่าเลยแตกย่อยออกเป็นหลายกลุ่ม รูปแบบรอยสักก็ต่างกันตามไปด้วย

- New wave tribal


พูดให้เข้าใจง่ายก็คือลาย tribal แบบสมัยใหม่นั่นเอง ลายดูซับซ้อนน้อยลง บางทีก็มีขนาดใหญ่ขึ้น

ลักษณะเหมือนลวดหนามมากกว่าที่จะเป็นคล้ายอักขระบางอย่างแบบชนเผ่า สาวๆหลายคนจะไม่ค่อยชอบ มองว่าเถื่อนไปหน่อย

อ้างอิง

2. Old school tattoo




หรือที่เรียกกันว่า American traditional tattoo และผู้ที่เริ่มต้นนำรอยสักเข้ามาเผยแพร่ให้กับชาวอเมริกันก็คือกะลาสีเรือที่มีโอกาสเดินทางไปยังเกาะแก่งตางๆในแถบโพลีนีเซียนั่นเอง จุดเด่นของรอยสักแบบนี้คือจะมีเส้นที่หนา คมชัด มักจะบรรยายถึงการเดินเรือ ทหารเรือ ท้องทะเล สมอเรือ หญิงสาวหุ่นอวบอั๋นสไตล์ pin up girl หัวใจมีมีดปัก กระโหลก หัวเสือ นกนางแอ่น และอื่นๆอีกเยอะมากมายที่แจ่มๆทั้งนั้น 




งานประกอบด้วยสีที่ไม่เยอะมากนักเพราะในสมัยแรกยังไม่มีเทคโนโลยีอะไรมากมาย หมึกสักก็ทำออกมาแค่ไม่กี่สี แดง ดำ เขียว เหลือง เป็นสีพื้นๆ



แต่ในยุคปัจจุบันกลับพบว่าหลายคนนิยมสักงาน traditional ออกมาด้วยขาวดำเยอะขึ้นเช่นกัน




เมื่อพูดถึงงานสักแบบ old school แล้ว ถ้าไม่กล่าวถึงตัวพ่อด้านนี้ดูจะผิดมหันต์เลยทีเดียว Sailor Jerry หรือในนามจริงว่า Norman Keith Collins เป็นอดีตทหารเรือได้เดินทางมาปักหลักเปิดร้านสักยังเกาะฮาวาย 





ในช่วงต้นเขาเปิดร้านกับเพื่อนชาวจีนที่ชื่อว่า Tom ร้านของพวกเขาจึงมีชื่อว่า Tom & Jerry ผลงานการออกแบบของเขาเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นมาก ยากจะหาช่างสักรุ่นใหม่เลียนแบบได้





มีอาจารย์แล้วก็ต้องมีศิษย์ คนที่ได้ชื่อว่าเป็นศิษย์เอกของ Sailor Jerry ก็คือ Ed Hardy นั่นเอง หลายๆคนอาจจะคุ้นเคยกับชื่อนี้ในแบรนด์เสื้อผ้าหรือน้ำหอมมากกว่า แต่จริงๆแล้วเขาเป็นช่างสักที่ทำงาน old school





งานของเขาเป็นในแบบที่มีสีสันหลากหลายขึ้นกว่าในยุคแรก สีม่วง สีฟ้า สีส้ม สีเหลือง ถูกนำเข้ามาใช้มากขึ้นในตัวงาน และการบอกเล่าผ่านลวดลายก็เริ่มจะแตกต่างออกไปด้วย เริ่มพูดถึงเรื่องอื่นมากขึ้น




ช่างสักในแนว American traditional อีกคนที่เราชอบมากคือ Valerie Vargas เธอประจำอยู่ที่อังกฤษ



งานของเธอจะเน้นที่ผู้หญิงและดอกไม้อย่างกุหลาบ สีสันหนักแน่นและจัดจ้าน แก้มแดงเป็นลูกตำลึง

แรงบันดาลใจรับมาจากงาน traditional เต็มๆ แต่ก็ผสมผสานสีสันใหม่ๆทำให้ดูออกมาก้ำกึ่งจะเป็น neo-traditional ด้วยในหลายๆงาน
ส่วนตัวใฝ่ฝันว่าในชีวิตอยากจะไปสักกับเธอสักครั้ง
อ้างอิง


3. Neo-traditional tattoo



               





งานสักประเภทนี้เป็นรูปแบบที่ถูกพัฒนาต่อยอดมาจาก American traditional ลายเส้นไม่หนาเท่างานยุคแรกของกะลาสีเรือแต่จะยังคงความคมชัดอยู่ มีการไล่เฉดสีที่ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น 






หลายๆงานเริ่มไม่เน้นความจัดจ้าน กลับจะดูหวานพริ้งมากกว่าด้วยซ้ำ เรื่องราวที่หยิบยกมาเล่าก็หลากหลายขึ้นด้วย รูปสัตว์ที่นิยมสักก็สมจริงและหลากหลายประเภทกว่าแต่ก่อน รวมทั้งมีความแฟนตาซีมากขึ้น



สำหรับช่างสักชื่อดังที่โดดเด่นในแนวนี้ที่เรารู้จักคนแรกก็คือ Megan Massacre ใครที่ได้ติดตาม NY Ink ก็น่าจะรู้จักเธอเช่นเดียวกัน ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอขายได้ทั้งลุคของตัวเธอเองและผลงานเลยละ





งานของเธอเป็นเอกลักษณ์มาก รูปแบบดูโรแมนติคผสมแฟนตาซี ใช้ชีสันลูกกวาดสดใส
อ้างอิง

4. New school tattoo

เป็นรอยสักโลกใหม่ที่เน้นสีสันสดใสและจินตนาการที่เหนือจริง ลายเส้นคมชัดแต่ไม่หนามากเท่างาน old school



ใช้สีสันฉูดฉาดตามยุคสมัยใหม่ มีการไล่เฉดลงเงาที่ซับซ้อนกว่างานสักรุ่นก่อนมาก


                                     


รวมแล้วดูมีความเป็นสามมิติมากกว่างานรุ่นก่อนที่จะแบนๆ เป็นรอยสักอีกประเภทที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก
อ้างอิง

5. Realistic tattoo




แค่เห็นคำว่า real ก็พอจะเดาได้แล้วว่ารอยสักแบบนี้ต้องเป็นอะไรที่มันจริง มีความสมจริงสูง เหมือนภาพวาด





ทั้งแบบสีและแบบขาวดำ ทั้งคน (นิยมเรียกว่างาน portrait) สัตว์ สิ่งของ พืชพรรณ เทพเจ้า หรือสถานที่ก็ยังมี






จัดว่าเป็นงานสักที่มีความสะเอียดสูงมากจริงๆ







ช่างสักระดับโลกที่เรารู้สึกว่าทำงาน portrait เก่งมากๆก็คือ Kat Von D รู้จักมาจากการดู LA Ink อีกแล้ว นางเป็นหญิงเก่งอีกคนนึงเลยนะจะว่าไป ทำทั้งงานสัก งานเพลง ธุรกิจเครื่องสำอาง





งานแต่ละชิ้นที่เราเคยดูงามหยดอย่างบอกไม่ถูก ส่วนมากจะเน้นขาวดำซะเยอะ เหมือนจริงมากๆ





อย่างรูปพระแม่สรัสวตีองค์นี้เหมือนจริงจนสะพรึง





คนต่อมานี่เราเริ่มประทับใจจากแค่ภาพเดียวก่อนเลย อิตา Trevor Friedrich ฮีเก่งหลายอย่าง ทำทั้งงานสัก งานดนตรี งานถ่ายภาพ





เราเห็นผลงานครั้งแรกจากต้นขาของ Alysha Nett เป็นรูป Audrey Hepburn





เอกลักษณ์ของงานเราคิดว่าเหมือนภาพถ่ายขาวดำ คนในภาพดูมีชีวิตที่ประกายในแววตา
อ้างอิง
6. Cartoon tattoo





ตอนแรกไม่แน่ใจว่าจะจัดประเภทนี้เข้ามาดีมั้ย แต่ก็คิดว่าควรใส่เข้ามาเพื่อรองรับงานสักในรูปแบบนี้ซะหน่อย ว่ากันง่ายๆคืองานสักแบบรูปภาพการ์ตูน จะเป็นการ์ตูนฝรั่ง ญี่ปุ่น หรือจากไหนก็ตามที่สักออกมาแล้วดูเป็นสองมิติโดยที่ไม่มีการดัดแปลงลายเส้นให้พลิกแพลงไปจากเดิมก็เข้าหมวดนี้ได้หมด









ไม่ว่าตัวการ์ตูนนั้นๆจะเป็นคน สัตว์ หรือสิ่งของ ก็ได้หมด สังเกตว่ามันมีความสมจริงประมาณนึง สมจริงในแบบที่ภาพการ์ตูนจะให้ได้ แต่ไม่ถึงกับสมจริงมากอย่างกับภาพเหมือน หรือหลุดไปแฟนตาซีเท่า new school
อ้างอิง
7. Japanese tattoo





งานสักของญี่ปุ่นในยุคแรกจะเป็นเรื่องของจิตวิญญาณซะมากกว่า เรียกกันว่า irezumi หลังจากเข้ายุคเอโดะมาถึงจะปรับเปลี่ยนมาเป็นการสักเพื่อความสวยความงาม โดยอ้างอิงจากตำนานเทพเจ้าและนิยาย 






จุดเด่นของงานญี่ปุ่นคือมีทั้งความน่าเกรงขามและอ่อนช้อยผสมผสานกัน มีเทพเจ้าหรืออสูรที่มีใบหน้าดุดัน บางทีเป็นมังกรตัวใหญ่หรือปลาคาร์ป แต่ก็จะมีดอกไม้และสายน้ำที่เข้ามาเพิ่มความอ่อนช้อย 




พื้นหลังจะทำเป็นริ้วสีดำโค้งไปตามสัดส่วนที่ทำการสัก แต่กลุ่มอาชญากรอย่างยากูซ่าก็ชอบการสักกัน เลยทำให้ภาพพจน์รอยสักดูไม่ค่อยดีนักในสายตาชาวญี่ปุ่น
อ้างอิง
8. Chinese calligraphy tattoo







แปลเป็นไทยให้เข้าใจกันง่ายๆว่าการสักตัวจีน เป็นการสักแบบถมดำทั่วไป บางทีจะเน้นความอ่อนช้อยมากหน่อยถ้าเป็นอักษรประดิษฐ์แบบที่เขียนจากพู่กันจีน แต่บางทีก็ใช้ฟอนท์เรียบๆเหมือนฟอนท์พิมพ์งานทั่วไปได้ด้วย
อ้างอิง
9. Thai & Neo-Thai tattoo






มาถึงงานที่สร้างชื่อเสียงช่างสักไทยให้ไปไกลระดับโลกกันบ้างดีกว่า เป็นงานสักสไตล์ไทยที่เน้นลวดลายอันอ่อนช้อย ผสมผสานไปกับการลงเงาและไล่เฉดสีตามแนวทางการสักแบบสากล ส่วนมากนิยมสักเป็นสัตว์ในเทพนิยาย ลายไทย ลายกนกต่างๆ หรือพระพุทธรูปก็มี 



ช่างบนคนนำเอกลักษณ์แบบไทยไปผสมกับเทคนิคการลงสีของงานญี่ปุ่น ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาก็คือกวาดรางวัลมาได้เยอะแยะ ช่างไทยเราสร้างชื่อในงานประเภทนี้เยอะจริงๆ
อ้างอิง
10. Celtic tattoo










ดูเผินๆอาจจะมีส่วนคล้ายกับงาน tribal อยู่บ้าง แต่งาน celtic ถือกำเนิดขึ้นจากแถบไอร์แลนด์ในยุคโบราณ เป็นศิลปะที่เกี่ยวพันกับศาสนาและงานเหล็ก จุดเด่นของลายคือจะมีการเกี่ยวพันกันไปมาคล้ายโซ่ มีรูปทรงไม้กางเขนผสมเข้ามาด้วย เน้นใช้สีดำหรือสีเข้ม แต่จะไม่ถมดำตลอดทั้งงาน มีการเล่นแสงเงาเพิ่มเข้ามาเพื่อสร้างมิติ
อ้างอิง
11. Bio-mechanical tattoo








เป็นอีกรูปแบบการสักที่ได้รับความนิยมมากหลังจากยุค 2000 เป็นต้นมา ความหมายของชื่อ bio-mechanical ก็คือการผสมผสานระหว่างความมีชีวิตและเครื่องจักรกล








ลวดลายที่มักพบได้ก็คือเนื้อคนที่ฉีกขาดเผยให้เห็นด้านในเป็นเครื่องจักรในรูปลักษณะต่างๆ กับแบบที่ทำเหมือนเอ๊กซเรย์เห็นภายในส่วนนั้นของคนเป็นหุ่นยนต์อยู่ภายใน ส่วนมากจะนิยมใช้สีสันที่สมจริงหรือขาวดำก็มี
อ้างอิง
12. Giger tattoo





ชื่องานสักประเภทนี้ได้มาจาก H.R. Giger จิตรกรชาวสวิสฯผู้มีชื่อเสียงจากการออกแบบสัตว์ประหลาดให้กับหนังเรื่อง Aliens จนกวาดรางวัลสาขาเทคนิคพิเศษด้านภาพไปมากมาย 




จุดเด่นของงานก็คือความเป็นสัตว์ประหลาดนี่แหละ จะเป็นงานขาวดำที่เล่นแสงเงาได้เสมือนจริง ทั้งๆที่เราก็รู้ว่าเอเลี่ยนไม่มีจริง แต่งานสักประเภทนี้กลับทำให้ดูเหมือนของจริงได้อย่างไม่น่าเชื่อเลย
อ้างอิง
13. Graphic design tattoo





รูปแบบของงานสักกราฟฟิคดีไซน์ที่กำลังจะพูดถึงนี้เพิ่งจะเป็นกระแสที่โดดเด่นเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง เรียกว่าเราเปิดเป็นหมวดพิเศษให้เลยดีกว่า เพราะงานไม่ซ้ำใครและไม่มีใครเหมือนจริงๆ เป็นงานจากช่างสักชาวฝรั่งเศสอย่าง Loic Lavenu หรือที่ใช้ชื่อในวงการว่า Xoil 

















เราเห็นงานเขาเยอะมากในแมกกาซีนรอยสัก แต่เพิ่งจะมารู้จักเพราะแฟนเก่าคนฝรั่งเศสแนะนำให้ดูงาน ผลงานของเขาจะเหมือนภาพกราฟฟิคแบบ vector ผสมผสานด้วยเส้นสีและรูปทรงเรขาคณิตที่เข้ากัน บางครั้งงานภาพเหมือนก็มา รวมทั้งตัวอักษรแบบตัวพิมพ์ด้วย
อ้างอิง
14. Quote tattoo












เป็นอีกรูปแบบการสักลายที่กำลังบูมมากในยุคนี้ คำพูดคำคมต่างๆ จากทั้งคนดัง จากหนัง ข้อความในไบเบิล ชื่อตัวเอง หรือเนื้อเพลงที่ชอบ ต่างก็ถูกเลือกมาสักกันบ่อยๆ ด้วยความที่สามารถเล่นกับฟอนท์และตำแหน่งได้ แม้จะเป็นคำที่สั้นเพียงไม่กี่ตัวอักษร แต่ก็ทำให้งานออกมาน่าสนใจได้อย่างไม่น่าเชื่อ
อ้างอิง
15.  Minimalist tattoo













ถ้าพูดถึง quote tattoo แล้วญาติของมันก็ต้องตามมา minimalist เป็นสไตล์ less is more โดยแท้ กินเนื้อที่ไม่มากแต่กินความมาก เหมาะกับคนที่ไม่อยากสักเยอะ ไม่ต้องเจ็บตัวนาน กำลังเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นทั่วโลก รูปแบบงานมีทั้งงานสีและขาวดำ นิยมสักเป็นสิ่งของรอบตัวหรือธรรมชาติ บางทีก็มีสไตล์อื่นมาแจมด้วย เช่น geometric งาน dot หรืองานสีน้ำ







ช่างแนวนี้ที่กำลังโด่งดังในหมู่สาวๆผู้เสพย์งานสัก minimalist คงจะหนีไม่พ้นช่างจากแดนกิมจิอย่าง Seoeon เป็นแน่แท้ มีสาวๆหลายคนเดินทางไปสักถึงถิ่น และก็มีสถิติการก็อปงานเกิดขึ้นในบ้านเราเยอะมากเหมือนกัน เอกลักษณ์ของงานจะเป็น minimalist สไตล์น่ารัก หวานๆ เหมาะสำหรับผู้หญิง
อ้างอิง
16. Geometric tattoo






ญาติคนต่อไปเชิญแนะนำตัว geometric แปลว่าเรขาคณิต รูปแบบของงานส่วนมากจะเป็นขาวดำ มีการใช้สีแจมบ้างเล็กน้อยด้วยเทคนิคสีน้ำหรือ galaxy ลายมีทั้งแบบเล็กจิ๋วเข้าข่าย minimalist หรือจะใหญ่เป็นฝ่ามือหรือทั้งหลังก็มี 





และในความเป็นขาวดำเองก็มีงาน dot หรืองานเส้นแทรกอยู่ด้วยก็ยังได้ บอกแล้วว่าพวกนี้เขาเป็นเครือญาติกัน

อ้างอิง
17. Dotwork & Line tattoo






เครือญาติยังคงต้องมาแนะนำตัวกันต่อ รูปแบบการสัก dotwork ก็คือการใช้ปลายเข็มจุดลงไปเล็กๆต่อเนื่องกันจนเกิดภาพ ต้องใช้ความอุตสาหะมาก หลายๆครั้งเราจะเห็นช่างแอบบ่นกันขำๆว่าตาแทบบอด







งาน line ก็จะเน้นการใช้เส้นสายในรูปแบบต่างๆ ร้อยเรียง จัดวางให้ออกมาเป็นรูป ทั้งสองแบบนี้หลักๆนิยมทำเป็นขาวดำมากกว่า และเช่นเคยที่จะปะปนกับงาน minimalist และ geometric แบบเลี่ยงกันยาก



สำหรับงานสไตล์นี้เรามีช่างที่ชอบมากอยู่คนนึงคือ Mo Ganji อยู่ที่เมือง Düsseldorf เป็นลูกครึ่งเยอรมัน-อิหร่าน

                                                                                        

งานที่เขาถนัดจะเป็นงานเดินเส้นยาวๆให้เกิดเป็นภาพ เหมือนการเอาเชือกเส้นนึงมาขดเป็นภาพน่ะ เคยมีคนบัญญัติไว้ว่ามันคือ single line tattoo ไร้รอยต่อทอเต็มเส้นมากๆ เส้นเข้มคมชัดแต่ก็ยังคงความนุ่มนวลในเส้น ไม่แข็งจนเกินไป ชีวิตนี้ไม่เคยนึกอยากไปประเทศเยอรมันนะ แต่ช่างโมคือสาเหตุเดียวที่จะต้องไปให้ได้ อยากได้งานมาประดับร่างมาก
อ้างอิง
18. Mandala tattoo








mandala เป็นงานศิลปะอย่างนึงของชาวอินเดีย ลักษณะเป็นวงกลมหรือบางที่ก็ตัดเหลือแค่ครึ่งวงกลม มีส่วนประกอบของการเดินเส้นและ dotwork อยู่ในงานด้วย นิยมทำกันเป็นขาวดำและจัดวางตำแหน่งให้อย่างมีชั้งเชิง ทำให้งานออกมาดูน่าสนใจมากขึ้น 






ส่วนมากจะเห็นผู้หญิงสัก mandala กันซะเยอะ นานๆจะเจอผู้ชายหลงมาสักที

อ้างอิง
19. Watercolor tattoo










มาถึงรูปแบบงานสุดท้ายกันแล้ว เป็นงานแบบสีน้ำ ลักษณะก็เหมือนคุณสมบัติการใช้สีน้ำแบบที่เราเคยเรียนมานั่นแหละ โปร่งแสง เข้มหรืออ่อนได้ตามต้องการโดยเพิ่มหรือลดสัดส่วนของน้ำ มักจะเจอคู่กับงาน minimalist หรืองาน geometric อยู่บ่อยๆ ใช้สีสันที่สดใสเหมือนการระบายสีน้ำจริงๆ การไหลของสีก็ดูธรรมชาติเหมือนงานวาดสีน้ำด้วยพู่กัน ไม่เหมือนมาจากเข็มสักเลย




ช่างที่มีความโดดเด่นในการสักสีน้ำก็คือ Amanda Wachob









งานของเธอจะคล้ายการตวัดพู่กันสีลงบนผิวหนัง แต่ลักษณะของสีไม่ได้ดูโปร่งแสงแบบสีน้ำ สีดูมีเนื้อข้นกว่าและค่อนข้างทึบแสง เส้นดูคมด้วยความมั่นใจ ริ้วของสีดูเป็นธรรมชาติอย่างเหลือเชื่อ ไม่คิดเลยว่าจะเกิดจากเข็มสัก
อ้างอิง


(ใช้เพื่อการศึกษาเท่านั้น)

3 ความคิดเห็น: